วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

20 ตำรายาสมุนไพรโบราณของ หมอพร


20 ตำรายาสมุนไพรโบราณของ หมอพร( สมเด็จกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ )




ด้วยข้าพเจ้าได้มีความมุ่งหวังได้จัดทำ ตำรายาชาวบ้านขนานแท้ ขึ้น ซึ่งเป็นตำรายาของ หลวงปู่ ศุข วัดมะขามเฒ่า และ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ท่านได้บันทึกไว้ในสมุดข่อย ท่านพระครูนนทประภากร ท่านได้จัดทำมาแล้วครั้งหนึ่ง และข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้นำไปใช้ และเพื่อดำรงรักษาตำราอันสำคัญนี้ไว้ เหมือนเพชรล้ำค่า หามิได้อีกแล้วเกรงจะสูญหายไป ประกอบทั้งปัจจุบันนี้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้ทรงส่งเสริมฟื้นฟูพืชสมุนไพรด้วย
การพิมพ์หนังสือ ตำรายาชาวบ้านขนานแท้ ครั้งนี้ จึงหวังเพื่ออนุรักษ์ตำราไว้ และเพื่อกุศลบางส่วนที่ผู้พิมพ์ได้มีเจตนาจะทำจึงจัดค่าพิมพ์ไว้ในราคาถูก
สุดท้ายนี้ขอบารมีของ หลวงปู่ ศุข วัดมะขามเฒ่า และ สมเด็จกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ จงรับส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้อุทิศนี้ด้วยเทอญ
***ส่วนหนึ่ง จาก คำนำ หนังสือ ตำรายาชาวบ้าน ของ หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า และ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ที่จะนำมาใช้อ้างอิง ถึงตำรายา ที่จะนำมาเผยแพร่ต่อไป ขอขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ
ประวัติหมอพร
เมื่อครั้งทรงเป็นหมอพร
หมอพรขณะที่เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการชั่วคราว ระหว่างปี พ.ศ.2454 - 2459 เป็นระยะเวลา 6 ปี พระองค์จึงทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ เพื่อช่วยชีวิตคนยากจน โดยได้เสด็จไปหาพระยา พิษณุประสาทเวช หัวหน้าหมอหลวงฝ่ายยาไทย เพื่อขอเป็นลูกศิษย์ นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายคน เช่น หมอฝรั่งชาวอิตาเลียน และชาวญี่ปุ่น หม่อมเจ้าหญิง เริงจิตแจรง อาภากร พระธิดาเสด็จในกรมฯ ได้ทรงเล่าว่าพระองค์ทรงศึกษาอย่างจริงจัง ได้ทรงสั่งกล้องจุลทัศน์มาสำหรับตรวจโรค มีห้องพิเศษเรียกห้องเคมีวิทยาศาสตร์ พระองค์ทรงชอบ ทดลองมีการค้นคว้ายาแก้โรคต่าง ๆ ได้ทรงนำเอาสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่สัตว์เล็ก ๆ จนถึงสัตว์ใหญ่มาทดลองยาที่ทรงปรุง ทรงชำระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณกรรม และปัจจุบันกรรม ซึ่งเป็นตำรายาแผนโบราณจนเสร็จบริบูรณ์ เมื่อ พ.ศ.2458
หมอพร เมื่อทรงทดลองยาที่ทรงปรุงจนได้ผลดี จึงทรงรับเป็น หมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป ไม่ว่าคนมี คนจน ใครมาหาก็ทรงตรวจรักษาให้ทั้งนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงตั้งชื่อพระองค์ว่า "หมอพร" คนป่วยมาหาเองไม่ได้ ถ้ามารับไปตรวจและรักษาที่บ้าน ต้องเอารถมารับส่ง เวลานั้นนายทหารเรือป่วยกันมากไม่ค่อยไปโรงพยาบาล ใครป่วยก็มาหาหมอพร หมอพรจะตรวจ และจ่ายยาให้โดยไม่คิดค่ายา ที่หายก็มี และที่ป่วยหนักตายก็มี สำหรับการรักษาประชาชนทั่วไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีครอบครัวจีนในสำเพ็งรายหนึ่ง สามีคือพ่อบ้าน ซึ่งกำลังเจ็บหนักดูเหมือนจะเป็นวัณโรค ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า ฝีในท้องและใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ไม่มีทางจะกระเตื้องขึ้นเลย อาการมีแต่ทรงกับทรุด
ครั้นบ่ายวันหนึ่งเสด็จในกรมฯ ซึ่งปลอมพระองค์เป็น "หมอพร" เดินถือย่ามยานุ่งผ้าม่วงไว้หนวดไว้เครา เสด็จเข้าไปในสำเพ็ง เด็กเล็กเดินหนีกันเกรียวกราว รู้ไปถึงหูภรรยาของคนเจ็บ เมื่อรู้ว่าหมอพรก็วิ่งกระหืดกระหอบ เข้าไปกราบที่พระบาท ร้องไห้ร้องห่ม ขอให้ไปช่วยชีวิตสามี จะเสียเงินเสียทองเท่าไรก็ยอม หมอพรจึงเดินตามอาซิ้ม เข้าไปในบ้านหลังใหญ่ และจะไปพินิจพิเคราะห์ตัวเถ้าแก่ใหญ่ ที่กำลังหายใจ ครอก ๆ อยู่ หลังจากพิจารณาด้วยความถี่ถ้วนแล้ว ก็ทำพิธีเป่ามนต์และท่องบ่นคาถาอยู่พักหนึ่ง แล้วได้อัญเชิญคุณพระมาทำน้ำมนต์และรดคนไข้
พร้อมกับมอบ หมายยาไทยขนานหนึ่งไว้ให้ แล้วหมอพรก็อำลาไป ต่อมาชั่วเวลาไม่นานนัก พระองค์ก็เสด็จไปฟังผล ปรากฏว่าอาการของคนไข้กระเตื้องขึ้น อย่างทันตาเห็น เถ้าแก่ที่มีเงินทองมากมายได้ลุกขึ้นกราบ เรียกภรรยาให้เอาเงินมาถุงหนึ่ง เพื่อจะถวายให้พระองค์ เป็นค่ารักษา แทนที่เสด็จในกรมฯ หรือหมอพรจะรับไว้ กลับโบกพระหัตถ์ว่า พระองค์ไม่ใช่หมอประเภทเห็นแก่เงิน เสด็จในกรมฯ ขอให้คนไข้นำเงินนั้นไปทำสาธารณประโยชน์ อย่างอื่นต่อไป เศรษฐีจีนคนนั้นได้มอบเงินจำนวนนั้น ไปใช้ในการสร้างศาลาการเปรียญที่วัดแห่งหนึ่ง
ตำรายาหมอพร
หมอพร พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงออกจากประจำการชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2454 เมื่อครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่น ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณจากตำราไทย ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณ ลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง โดยทรงค้นคว้าตรวจหาตามคัมภีร์เก่า ที่เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้ว
เขียนเสร็จในปี พ.ศ.2458 พระองค์ทรงตั้งชื่อ ตำราไทยสมุดข่อยเล่มนี้ว่า
"พระคัมภีร์ อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม"
เป็นสมุดข่อยที่มีเนื้อหาทั้งตำรายาแผนโบราณ กล่าวถึงการผสมยาแก้โรคต่าง ๆ
ซึ่งในตำรา กล่าวว่าเคยใช้ได้ผลมามากแล้วและบันทึกไว้ ด้วยศิลปภาพเขียน
นับตั้งแต่หน้าปกที่เป็นลายไทย ปิดทองที่สวยงามมาก หน้าต่อไปเป็นภาพเขียน
ด้วยหมึกสี ภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายและด้านขวา เป็นภาพฤาษี 2 องค์
นั่งพนมมือ ถัดมาด้านขวามือสุด เป็นตราประจำราชสกุลอาภากร รูปพระอาทิตย์
ทรงราชรถประทับยืน ทรงพระขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา มีอักษรเขียนเป็นภาษาบาลีว่า
"กยิราเจ กยิราเถนํ" แปลว่า "จะทำสิ่งไร ควรทำจริง" ขอบสมุดด้านซ้าย
และขวาเขียนลายไทย ด้วยสีสันที่สดใสสวยงาม ตัวอักษรบางตัวเป็นอักษรประดิษฐ์ประกอบกับลายไทย
นอกจากเสด็จ ในกรมฯ ทรงศึกษาค้นคว้าตำรายาต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังไม่ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกคนจนหรือคนมี และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายา แต่อย่างใด ทุกคนที่มีความเดือดร้อน จะต้องได้รับความเมตตาอารีจากพระองค์ไปทั้งสิ้น จนเป็นที่นับถือของคนทั่วไปในนามของพระองค์ว่า "หมอพร" ข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ในพระอัธยาศัย ของพระองค์อีกด้านหนึ่งว่า ทรงเมตตาอารี ต่อคนทุกชั้น แม้ผู้ที่มิใช่ทหารเรือ ก็เคารพนับถือ พระองค์เป็นที่สุดเช่นกัน
พระคัมภีร์อติสาระวรรค ตำรายา "พระคัมภีร์ อติสาระวรรค" นี้ มีอยู่ 2 เล่ม เล่ม 1 นั้นอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ สมุทรปราการ ส่วนเล่ม 2 นั้น ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ถึงแม้ว่า จะมีร่องรอยของการถูกทำลายจากแมลงตัวเล็ก ๆ อยู่บ้าง แต่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือก็ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อยู่ในสภาพที่ดี สามารถอ่านข้อความได้ชัดเจน เคยมีผู้คัดลอกตำรายา พิมพ์เผยแพร่ลงหนังสือไปบ้างแล้ว 4 - 5 ขนาน คือ ยาเขื่อนกำบัง ยาเบญจขันธ์ ยาประสะพุงเม่น
ยาแก้ไข้ทับระดู และ ระดูทับไข้
ท่านให้เอา พริกไทยร่อน ๑ ดีปลี ๑ สะค้าน ๑ ลูกสมอไทย ๑ ผักคราด ๑ ชะพลู ๑
แก่นมะหาด ๑ ไม้สัก ๑ แก่นจิก ๑ แก่นต้นรัง ๑ แก่นไม้่ประดู่ ๑ เมล็ดฝ้าย ๑ รากหญ้าคา ๑ หัวแห้วหมู ๑
ใบมะกา ๑ ก้านสะเดา ๑ ต้นกะเพรา ๑
ตัวยาทั้ง ๑๗ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน,ตาไม้ไผ่สีสุก ๗ ตา,หัวกะลามะพร้าว ๓ หัว
ตัวยาทั้ง ๑๙ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา ก่อนอาหาร เช้า-เย็น มีสรรพคุณแก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้ ได้ผลดีชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคไอเป็นเลือด
ท่านให้เอา ใบมะกา ๑ เถาวัลย์เปรียง ๑ เถาคันแดง ๑ ใบมะคำไก่ ๑ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ๑
ตัวยาทั้ง ๕ นี้เอาหนักอย่างละ ๕ ตำลึง นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยา ทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
มีสรรพคุณแก้โรคไอเป็นเลือดให้หายไป ได้ผลชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคไอเรื้อรัง
ท่านให้เอา หัวอุตพิดสด(พอสมควร) ๑ หัวกระเทียม ๗ กลีบ ๑ พริกไทยร่อน ๗ เม็ด ๑
ดีปลี ๗ ดอก ๑ ตัวยาทั้ง ๔ นี้ นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด
ใช้ทานครั้งละ ๑ เม็ด มีสรรพคุณแก้โรคไอเรื้อรัง ได้ผลอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาทิพย์ไสยาสน์
ท่านให้เอา ลูกจันทน์ ๑ ยาดำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ ตัวยาทั้ง ๓ นี้เอาอย่างละเท่าๆกัน
พริกไทยร่อน หนักเท่ายาทั้ง ๓ อย่างนั้น นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้
ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้ทานก่อนนอน มีสรรพคุณทำให้เลือดลมเดินสะดวกดี
นอนหลับสบาย ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาครรภ์รักษา
ท่านให้เอา หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ เกษรทั้ง๕
(คือ ดอกพิกุล ๑ ดอกบุนนาค ๑ ดอกมะลิ ๑ ดอกสารภี ๑ เกษรบัวหลวง ๑) เนระพูสี ๑
ตัวยาทั้ง ๔ นี้เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน
นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยาทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงสุขภาพของแม่และลูกในครรภ์ ทำให้คลอดลูกออกง่าย
เคยใช้ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้สตรีตกเลือดประเดือน
ท่านให้เอาหัวปลาไหล (ตากแห้ง) ๑ หัว นำมาเผาไฟให้ไหม้ บดให้ละเอียด ผสมน้ำส้มสายชู
และแทรกสุราเล็กน้อย ประมาณน้ำยา ๑ ถ้วยชา ใช้ทานเพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้สตรีตกเลือดประจำเดือนให้หยุดทันทีเคยใช้รักษาหายมามากแล้ว ได้ผลอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคหูหนวก
ท่านให้เอา ใบต้นโคนทิสอ ๑ ใบต้นหูกวาง ๑ ใบต้นตะขบป่า ๑ พิมเสน ๑ การบูร ๑
ตัวยาทั้ง ๕ นี้เอาอย่างละพอสมควร นำมาตำผสมกันให้ละเอียด ย่างไฟให้สุกกรอบ
บดให้ละเอียด ละลายกับน้ำมันมะพร้าวพอสมควร ใช้หยอดช่องหูวันละครั้ง ทุกวันติดต่อกันไปเรื่อย
อาการหูหนวกจะค่อยๆ หายไป มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
ท่านให้เอา หัวกระเทียมโทน (กระเทียมหัวเดียวโดยเฉพาะไม่มีกลีบ) ๒๑ หัว นำมา
ปอกเปลือกแล้วใส่โหล หรือใส่โถ ใส่น้ำผึ้งแท้ลงผสมให้ท่วมหัวกระเทียม ปิดฝาโหลหรือ
โถให้สนิท หมักดองไว้ ๗ วัน ใช้รับประทานเวลาก่อนนอน ครั้งละ ๓ หัว พร้อมทั้งน้ำ
แก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคปวดศีรษะเรื้อรัง
ท่านให้เอา แก่นขี้เหล็ก ๑ ผักเสี้ยนผี ๑ ต้นแมงลัก ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละ ๑ บาท
นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้น้ำยาทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาวันละ ๔-๕ ครั้ง
มีสรรพคุณแก้โรคปวดศีรษะเรื้อรังให้หายขาดไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคมะเร็งในมดลูก
ท่านให้เอาหัวข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ต้นหนอนตายหยาก ๑ รากนมแมว ๑ หัวพุทธรักษา
( สีขาว) ๑ ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ๔ กำมือ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยาดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เช้าเย็น แก้โรคมะเร็งในมดลูก ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ
ยาแก้โรคเบาหวาน
ท่านให้เอา รังผึ้ง (เอาทั้งรังพร้อมทั้งตัวอ่อน) ๑ รัง เหล้า ๑ ขวด หัวกระชาย ๑๒ หัว
เปลือกตะโกนา (ต้นตะโกดัด สดหรือแห้งก็ได้) ๓ เปลือก ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมา
ดองรวมกัน โดยนำรังผึ้งใส่ลงในโถหรือใส่ในโหล เทเหล้าลงผสมพอท่วมรังผึ้ง ใส่หัว
กระชาย (ซึ่งปลอกเปลือกและทุบให้แตกเสียก่อน) และใส่เปลือกตะโกนาลงผสม หมัก
ดองไว้ ๓ วัน ใช้น้ำยาดองนี้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เวลาก่อนอาหาร เช้า-เย็นวันละ ๒ เวลา
ทุกวันติดต่อกันไปจนครบ ๑ เดือน
ท่านให้เอา ต้นเหงือกปลาหมอทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) จำนวนพอสมควร นำมา
ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงจำนวน ๖ ถ้วยชาจีน เอา
พริกไทยร่อนจำนวน ๓ ถ้วยชาจีน บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาด
เท่าเมล็ดพุทรา จำนวน ๑๐๘ เม็ด ใช้รับประทานครั้งละ ๑ เม็ด ก่อนเวลาอาหาร เข้า-เย็น ทุกวัน ติดต่อกันไปจนครบ ๕๔ วันโรคเบาหวานจะหายขาด
เจ้าของยาขนานนี้ ได้ใช้รักษาตัวเองหายขาดมาแล้ว ชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคปวดเข่าอย่างรุนแรง
ท่านให้เอา เถากะทกรกหนัก ๑ บาท หญ้างวงช้าง ๑ รากคนทา ๑ ขิงแห้ง ๑ หญ้าหางช้าง ๑ หัวข่า ๑
ตัวยาทั้ง ๕ นี้ เอาหนักอย่างละ ๑๐ บาทเท่ากัน ตัวยาทั้ง ๖ นี้ นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้น้ำยา ทานครั้งละ ๑ ถ้วยกาแฟ เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา
มีสรรพคุณ แก้โรคปวดหัวเข่าอย่างรุนแรงให้หายไป ได้ผลดี ชะงัดนักแล ฯ
ยาถอนพิษต่าง ๅ
ท่านให้เอา สารส้ม ๑ ก้อน (ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย) นำมาตำให้ละเอียด ผสมน้ำต้มสุก ใช้รับประทาน
มีสรรพคุณ จะทำให้เกิดการ อาเจียรถอนพิษต่าง ๆ เช่น เห็ดพิษ พิษกรดด่าง ยาพิษ เป็นต้น ให้หายไป อย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคโลหิตจาง
ท่านให้เอา ผลมะนาวสด ผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ นำมาผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเล
(เกลือใส่แกง) พอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้ทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต และแก้โรคโลหิตจาง
ทำให้มีผิวพรรณผุดผ่อง มีน้ำมีนวล มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคความดันต่ำ
ท่านให้เอา หมูเนื้อแดง หนัก ๑ ก.ก. กับพริกไทยร่อน ๑ กระป๋องนมข้น ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้
นำมาบดผสมกัน ใส่โถ หรือ โหล ใส่น้ำผึ้งแท้พอท่วมยา หมกข้าวเปลือกไว้ ประมาณ ๑๕ วันขึ้นไป
ใช้น้ำยาดองนี้ทานครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ทุกวัน เพียง ๕ วันเท่านั้น อาการป่วยโรคความดันต่ำ
จะหายเป็นปรกติ มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคตาฟาง
ท่านให้เอา ใบมะขาม ๒ กำมือ นำมาตำให้ละเอียดกับ น้ำฝน ๔ แก้ว นำมาใส่ภาชนะเคลือบ
ใส่พิมเสน กับ เกลือทะเล ลงผสมเล็กน้อย หมักดองไว้ประมาณ ๑๐วัน แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
ใช้น้ำยาหยอดตา มีสรรพคุณแก้โรค ตาฟาง ตาฝ้า ตามัว ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคหูอื้อ
ท่านให้เอา ข้าวสาร ๖ ส่วน พริกไทยร่อน ๔ ส่วน เกลือทะเล(เกลือใส่แกง) ๓ ส่วน
ตัวยาทั้ง ๓ นี้ นำมาคั่วไฟให้สุกดี แล้วบดให้ละเอียด ผสมกับสุราหรือน้ำร้อนก็ได้
ใช้ทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา อาการโรคหูอื้อ และหูน้ำหนวกจะหายไป มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้โรคความดันต่ำ
ท่านให้เอา หมูเนื้อแดง หนัก ๑ ก.ก. กับพริกไทยร่อน ๑ กระป๋องนมข้น ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้
นำมาบดผสมกัน ใส่โถ หรือ โหล ใส่น้ำผึ้งแท้พอท่วมยา หมกข้าวเปลือกไว้ ประมาณ ๑๕ วันขึ้นไป
ใช้น้ำยาดองนี้ทานครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ทุกวัน เพียง ๕ วันเท่านั้น อาการป่วยโรคความดันต่ำ
จะหายเป็นปรกติ มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้คันทวารเบา
ท่านให้เอา ใบมะฝ่อ จำนวนมากพอสมควร นำมาล้างน้ำให้สะอาด
ใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยาทาน มีสรรพคุณแก้โรคคันทวารเบาของสตรี ได้ผลดีชะงัดนักแล ฯ
ยาแก้เลือดออกทางทวารหนัก
ท่านให้เอา ฝาง ๑ หญ้าผักปราบ ๑ ต้นขลู่ทั้ง ๕ (ถอนเอาทั้งต้นถึงราก) ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆกัน
นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส้หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยาทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา
เวลาเช้า - เย็น หรือเวลา เลือดออกทางทวารหนัก มีสรรพคุณแก้โรคเลือดออกทางทวารหนัก ได้ผลดีชะงัดนักแล ฯ



ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา

ต้นหญ้าไผ่น้ำ ฟอกไตดี

ต้นหญ้าไผ่น้ำ ฟอกไตดี




ข่าวดี.... อีกหนึ่งทางเลือก.....สำหรับผู้ป่วยโรคไต ระยะสุดท้าย....มีผู้ใช้ยืนยันว่าดีขึ้น... และหายป่วยได้

ต้องต้นหญ้าไผ่น้ำ ฟอกไตดี ดื่มง่ายมากๆ....
ต้มแล้วกรองน้ำเอามาดื่มนะ เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ดื่มเข้าไปดีทุกรายค่ะ เรื่องนี้จริงๆเลยนะ....
ไม่ต้องมาอ่านโพสอะไรที่ไหนเลยเพราะเราก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแค่ไหน
เห็นใจคนที่เป็นนะ ลองซื้อมาปลูกและดื่มกันนะ.
ต้นนี้นะ " ต้นไผ่น้ำ " ตามในรูปเลย พอดีที่บ้านปลูกแจกไปก็เยอะ
มีแต่คนหายนะ. ลองไปหาซื้อมาปลูกและดื่มดู.....
รับรองว่าไม่ต้องฟอกเลย ลองศึกษาสรรพคุณของต้นไผ่น้ำดูนะ
คนบ้า ไม่เต็มบาทห้าสิบสตางค์ ( คุณฝน )
ต้นไผ่น้ำพอดีว่าญาติเอามาจากเมืองจีนเลยไม่รู้ว่ามีขายที่ไหนนะ
จะส่งไปทางไปรษณีย์ก็กลัวไปตาย ที่ไทยมีขาย บ้านอยู่แถวไหน ถ้า กรุงเทพ นครปฐม ก็พอขับรถนำไปให้ได้อยู่นะ ไม่ต้องเกรงใจนะ เพราะฝนก็เพิ่งให้คนในเมืองนครปฐมไป ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะหลอกนะ พี่ๆลองเชิทหาแหล่งขายก่อนก็ได้นะ
Cr.คนบ้า ไม่เต็มบาทห้าสิบสตางค์
ชาวจีน เชื่อถือในสรรพคุณของ “หญ้าไผ่นํ้า” กันมาก
โดยมีผู้เป็นโรคไตขนาดต้องฟอกไตเป็นประจำ...
เมื่อนำเอา “หญ้าไผ่นํ้า” ไป ต้มนํ้าดื่มวันละแก้วใหญ่ๆ
กินติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน
อาการของโรคไตที่เป็นอยู่ หายได้โดยไม่ต้องฟอกไตอีก
อัตราส่วนในการต้มดื่ม เอาต้น “หญ้าไผ่นํ้า” แบบสด 250 กรัม นํ้าเยอะหน่อย
ต้มจนเดือดเคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง
เทดื่มขณะอุ่นวันละแก้ว ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ เวลาไหนก็ได้
ต้มดื่มต่อเนื่อง 3 เดือนแรกอาการจะดีขึ้น
ครบ 6 เดือน อาการจะหายขาด
ปัจจุบันมีผู้นำเอา “หญ้าไผ่นํ้า” มาวางขายอยู่ทั่วไป..




ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา

คุณประโยชน์กลัวยน้ำว้า

คุณประโยชน์กลัวยน้ำว้า




กล้วยน้ำว้า เป็นกล้วยสายพันธุ์หนึ่งที่พัฒนาสายพันธ์มาจากกล้วยป่ากับกล้วยตานี นิยมปลูกบริโภคกันอย่างแพร่หลาย เพราะปลูกง่าย และมีรสชาติดี กล้วยน้ำว้าจะมีคุณประโยชน์ต่างกันดังนี้
1.กล้วยดิบ
เปลือกภายนอกสีเขียวเข้ม ช่วยแก้โรคกระเพาะได้ดีเนื่องจากมีสารแทนนิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการเคลือบรักษากระเพาะและลำไส้ป้องกันการติดเชื้อ และด้วยตัวกล้วยดิบเองซึ่งมีฤทธิ์ในการลดกรดในกระเพาะ จึงเป็นยาทางธรรมชาติที่รักษาโรคกระเพาะที่ดีกว่ายาแผนปัจจุบันทั่วไป กล้วยดิบไม่สามารถรับประทานสดๆได้ วิธีการจึงต้องนำกล้วยมาฝานเป็นแว่นๆแล้วอบด้วยความร้อนต่ำไม่เกิน 50 องศา จนแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร โดยสามารถผสมกับน้ำผึ้งเพื่อให้รสชาติดีขึ้นง่ายต่อการรับประทาน
2.กล้วยห่าม
หรือกล้วยกึ่งดิบกึ่งสุก เปลือกภายนอกสีเหลืองแต่มีสีเขียวประปราย สามารถรับประทานได้สดๆ รสชาติไม่หวานจัดอาจติดรสฝาดเล็กน้อย กล้วยห่ามมีโพแทสเซียมสูง จึงให้ผลดีกับผู้มีอาการท้องเสียเนื่องจากผู้ป่วยจะสูญเสียโพแทสเซียมออกจากร่างกายมาก ซึ่งหากขาดมากอาจมีผลกระทบกับการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้กล้วยห่ามยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ และเพิ่มกากใยในการขับถ่ายให้กับผู้ป่วย สารเซโรโทนินในกล้วยห่ามยังช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
3.กล้วยสุก
สีเหลืองสด รสชาติอร่อยที่ปกติเราชอบรับประทานกัน ให้ผลตรงกันข้ามกับกล้วยห่าม เนื่องจากเป็นยาระบายอ่อนๆให้ผลดีกับคนที่มีอาการท้องผูก เพราะมีสารเพ็กตินอยู่มาก เพ็กตินเป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารและที่สำคัญเป็นอาหารของแบ็คทีเรียในลำไส้ หรือ prebiotic ตามธรรมชาติ จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่มีอาการท้องผูกมากๆต้องรับประทานวันละ 5-6 ลูกเพื่อให้ได้ผลดี
4.กล้วยงอม
กล้วยสุกจัดผิวคล้ำไม่สดสวย ที่หลายๆคนไม่ชอบรับประทาน แต่กลับให้ผลดีอย่างมากมายในการเพิ่มภูมิต้านทานโรคภัยต่างๆ เพราะช่วยเพิ่มเซลเม็ดเลือดขาว และมีสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ และยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ มีจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดสารเสริมภูมิต้านทานนี้มากขึ้น การรับประทานกล้วยสุกจัดเป็นประจำวันละ 1-2 ลูกยังช่วยเสริมภูมคุ้มกันโรคหวัด ไปในตัว


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก Bkk partyime.com

กล้วยน้ำว้า สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะ

กล้วยน้ำว้า สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะ




กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดคนไทยที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้ากันทั้งนั้น นอกจาก ข้าวสุกบดแล้ว ก็มีกล้วยน้ำว้าเป็นเหมือนอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาเพราะทุกครัวเรือนมีกล้วยปลูกไว้สำหรับเป็นผลไม้ เป็นอาหารและสารพัดขนมกินกันได้ตลอดทั้งปี
กล้วยน้ำว้าใช้ทำยาได้ทั้งดิบและสุก กล้วยดิบมีสารฝาดสมานชื่อแทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก เปลือกยังสีเขียวอยู่ประปราย เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย เพราะนอกจากจะช่วยแก้ท้องเสียแล้วยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเพิ่มกากเวลาถ่าย กล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกยังมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาใช้กล้วย แก้ท้องเสีย ก็เท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมไปในตัวด้วย ตามธรรมดาคนไข้มักสูญเสียธาตุโพแทสเซียมในเวลาท้องร่วง การกล้วยห่ามจึงเป็นการชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่เสียไป เพราะถ้าร่างกายสูญเสียธาตุโพแทสเซียมไปมากๆ ขณะท้องร่วง จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติในคนชราอาจทำให้หัวใจวายตายได้ ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยที่เริ่มสุกจะมีสารเซโรโทนินอยู่มาก ช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
วิธีการกินกล้วยเป็นยาก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อกินเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ควรนำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารในกล้วยมีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะนั้นจะสูญเสียไปหรือหมดฤทธิ์ไปเลยก็ได้ ถ้าโดนความร้อนสูงมากเกินไป กล้วยดิบที่ผ่านการอบอุณหภูมิต่ำแล้ว ให้นำมาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ กิน 3 ครั้งก่อนอาหาร กล้วยดิบๆมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและรักษาโรคกระเพาะ ส่วนยาแผนปัจจุบันทุกขนานที่ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เพียงป้องกันแต่ไม่ช่วบรักษา กล้วยจึงเป็นยารักษาโรคกระเพาะที่มีราคาถูกที่สุด และหาง่ายที่สุด
ส่วยกล้วยน้ำว้าสุกนั้นกลับมีสรรพคุณ ตรงกันข้ามกับกล้วยดิบ คือกล้วยสุกกลับเป็นยาระบายแก้ท้องผูก เพราะมีสาร เพ็กติน อยู่มาก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กล้วยที่สุกงอมมากๆจะมีฤทธิ์ระบายสูง เพราะมีสารเพ็กติน มากขึ้นนั่นเอง ฤทธิ์ระบายของกล้วยน้ำว้าสุกไม่รุนแรงมากต้องกินเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก จึงจะเห็นผล อุจจาระที่ออกมาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น การกินกล้วยสุกก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียด นานๆ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแป้งอยู่ถึง 20 -25 % ของเนื้อกล้วย จึงสามารถนำมาเป็นอาหารเสริมให้เด็กเล็กได้ ตามปกติ กระเพาะมีเอนไซม์ย่อยแป้งน้อย การเคี้ยวกล้วยให้แหลกละเอียดจะช่วยแป้งได้มากก่อนกลืนลงกระเพาะ หากกินกล้วยโดยเคี้ยวหยาบๆ จะทำให้ท้องอืด จุกแน่น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ควรเริ่มให้กินกล้วยสุกเมื่อเด็กเริ่มกินข้าวบดได้ อายุราว 3 เดือน โดยขูดเนื้อกล้วยสุก ( ไม่เอาไส้กล้วยเพราะจะทำให้เด็กท้องผูก ) ให้กินคราวละน้อยๆ ไม่ควรเกินครึ่งช้อนชา วันละครั้ง เพราะเด็กยังมีน้ำย่อยแป้งไม่พออาจเกิดอาการท้องอืดได้ เด็กอายุครบขวบกินกล้วยครั้งละ 1 ลูก วันละครั้งก็พอ
นอกจากนี้ เด็กที่มีผิวหนังเป็นตุ่มคันจากยุงกัด มดกัด หรือเป็นผื่นคันเนื่องจากลมพิษ สามารถใช้เปลือกกล้วยน้ำว้าสุกด้านใน ทาถูบริเวณนั้นสักครึ่งนาที รับรองว่าอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง
นี่เป็นเคล็ดลับภูมิปัญญาไทยที่ใช้กล้วยน้ำว้าเป็นยาสามัญประจำครัวเรือน กล้วยน้ำว้ามีประโยชน์มากมายมหาศาล นอกจากกล้วยที่เป็นผลไม้ อาหาร และสารพัดขนม ใบตองกล้วยยังใช้ทำกระทงใส่ข้าว ของคาว ของหวานแทนถ้วยชาม กาบกล้วยใช้ทำเชือก ซึ่งไม่เคยก่อปัญหาภาวะต่อสิ่งแวดล้อม คนไทยในยุคน้ำมันแพง น่าจะหันกลับมาสร้างค่านิยมปอกกล้วยเข้าปาก เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีในราคาประหยัด สุดคุ้มเหมือนในยุคปู่ย่า ตายายของเรา


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา

ชบา รักษาโรค

ชบา รักษาโรค










สรรพคุณทางยา :
ราก พอกฝี แก้อาการฟกช้ำบวม ช่วยเรียกน้ำย่อย
ใบ รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยบำรุงผมให้ดกดำเงางาม
เปลือกต้น รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา
ดอก ช่วยดับร้อนในร่างกาย แก้กระหาย และช่วยแก้ไข้ แก้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีระดูขาว บำรุงประจำเดือน

วิธีการใช้ :
พอกฝี แก้อาการฟกช้ำบวม ช่วยเรียกน้ำย่อย นำรากมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน และรากสดๆ นำมาตำละเอียด พอกฝีและอาการฟกช้ำ
รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยบำรุงผมให้ดกดำเงางาม นำใบมานำมาตำให้แหลก แล้วนำมาพอกบริเวณที่ถูกเป็นแผล ก็จะช่วยรักษาแผล และ นำใบประมาณ 1 กำมือล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำให้แหลก เติมน้ำเล็กน้อย ให้คั้นเอาแต่น้ำ แล้วกรองกากทิ้ง จากนั้นให้ใช้น้ำเมือกจากใบมาใช้สระผม จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกและช่วยบำรุงผม
รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา นำเปลือกต้น 50 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 150 ซีซี นานหนึ่งวัน แล้วกรองเอาแต่น้ำยาไว้ทาบริเวณที่เป็นฮ่องกงฟุต
ช่วยดับร้อนในร่างกาย แก้กระหาย และช่วยแก้ไข้ แก้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีระดูขาว บำรุงประจำเดือน นำดอกมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน หรือ นำมาตำให้ละเอียด แล้วกินตอนท้องว่างในช่วงเช้า ติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์
ถิ่นกำเนิด :
ชบาเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน อินเดีย และในหมู่เกาะฮาวาย


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา

สรรพคุณ ต้นเทียน

สรรพคุณ ต้นเทียน









ส่วนที่ใช้เป็นยา : ลำต้น ใบ ดอก ราก
สรรพคุณ
ลำต้น : ใช้ลำต้นเทียนดอกมาตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือกลืน แก้ก้างปลา หรือ กระดูกติดคอ หรือใช้กากที่ตำใช้พอก ทา บริเวณที่เป็นฝี
ใบ : นำใบสดของต้นเทียนดอกมาตำให้ละเอียด แล้วนำมาพอก หรือทา แก้เล็บช้ำ เล็บขบ แก้น้ำกัดมือ แก้ฝีตะมอย หรือนำใบสดมา
ต้มเอาน้ำใช้สระผมช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผม ใช้ใบตากแห้งมาตำผสมกับพิมเสนใช้ใส่รักษาแผลเรื้อรัง
ใบและราก : นำมาตำให้ละเอียดแล้ว นำมาพอกแผลที่ถูกเศษแก้วตำเนื้อ หรือใช้รักษาเสี้ยน
ดอก : นำมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณแผลที่ถูกน้ำร้อนลวก


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา

ยาแก้ไซนัสและริดสีดวงจมูก

ยาแก้ไซนัสและริดสีดวงจมูก






1. ให้เอาใบหนาด ใบกล้วยป่า ทั้งสองอย่างนี้หั่นเป็น ฝอยตากให้แห้ง กำมะถันเหลืองนิดหน่อย รากกระเทียมพอประมาณ ทั้งหมดผสมให้เข้ากันแล้วใช้ใบกล้วยป่ามวนสูบ
2. ใช้มะตูมอ่อนแห้ว พริกไทยร่อน กระชายดำ ใบ กอังกาบเหลือง ยาทั้งสี่อย่างน้ำหนักเท่ากันบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดเท่ามะละกอ กินหลังอาหารเช้า เย็น วันละ 2 เวลา ครั้งละ 15-30 เม็ด
3. ให้เอาลูกจันทร์ มหาหิงคุ์ การบูร ยาดำ อย่างละ 2 ตำลึง พริกไทย 8 ตำลึง ยาทั้งหมดนี้บดเป็น ผงละลายน้ำมะกรูดปั้นเป็นเม็ดเท่าเม็ดพุทรา กินวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า เย็น
4. ไซนัสมีน้ำมูกเป็นสีเหลือง ใช้หญ้ากระต่างจาน (คนจีนเรียหโอ่วเกี่ยอี้มเจี๊ยะเฉ้า) ขยี้แล้วยัดไว้รูจมูก
5. ไซนัสน้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น ใช้เถาบวบกลมใกล้ที่รากสัก 1 ศอก เผาเป็นถ่านแล้วบดเป็นผงแล้วผสมเหล้ากินและใช้ผงเป่าเข้าจมูก
6. ริสีดวงจมูกใช้พิมเสนอย่างดีทาที่หัวริดสีดวหรือใช้สารส้มสะตุผสมกับน้ำมันหมู แล้วใช้ผ้าห่อยัดใส่รูจมูก
7. ริดสีดวงจมูกให้เอาใบอัคคีทวาร ใบบัวบก เปลือกขลู่ ทั้งสามอย่างนี้ตากแห้ง ผสมพิมเสนกับการบูรเล็กน้อย แล้วใช้ใบตองอ่อนมวนสูบ
8. จมูกมีหนองคันใช้เมล็ดกู้ไฉ่สุมไฟแล้วรมควันหนองจะออกมา
9. เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ใช้กระเทียมตำไห้ละเอียดแล้วพอกที่อุ้งเท้าเลือดจะหยุดเอง


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก fb:นพดล อุ่นตา